ข้ามไปยังเนื้อหา

AI สอบตก! งานวิจัยชี้ แผนการสอนจาก Chatbot น่าเบื่อ-ขาดมิติเชิงลึก

เทคโนโลยี
0 ครั้ง
0 ความเห็น
1 นาที
AI สอบตก! งานวิจัยชี้ แผนการสอนจาก Chatbot น่าเบื่อ-ขาดมิติเชิงลึก
Photo by Nahrizul Kadri on Unsplash
By Suphansa Makpayab
TL;DR

งานวิจัยล่าสุดจาก The Conversation พบว่าแผนการสอนที่สร้างโดย AI Chatbot ยอดนิยมอย่าง ChatGPT, Gemini และ Copilot มักจะน่าเบื่อ ขาดการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ และมองข้ามความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้คุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนอาจไม่ดีเท่าที่ควร

ดูเหมือนว่า AI จะยังทำการบ้านมาไม่ดีพอสำหรับวงการการศึกษา เมื่อผลการศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน The Conversation โดยนักวิจัย Torrey Trust และ Robert Maloy พบว่าแผนการสอนที่สร้างจาก AI Chatbot ชื่อดังนั้น สอบตกในแง่ของการสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ แถมยังมองข้ามมิติความหลากหลายทางวัฒนธรรมไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ว่า AI จะกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณครูยุคใหม่ที่ต้องปั่นงานแข่งกับเวลา (ผลสำรวจจาก Gallup ชี้ว่าครูในสหรัฐฯ ถึง 60% ใช้ AI ช่วยเตรียมการสอนแล้ว) แต่ทีมวิจัยกลับพบว่าแผนการสอนที่ได้จาก AI มักจะวนเวียนอยู่กับรูปแบบการเรียนการสอนแบบเก่าที่เน้น “ท่องจำแล้วนำไปตอบ” (Recite and Recall) ซึ่งไม่ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์อย่างที่ควรจะเป็น

เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้ ทีมวิจัยได้ทดลองสั่งให้ AI Chatbot 3 ตัวท็อปของวงการ สร้างแผนการสอนวิชาหน้าที่พลเมือง (Civics) สำหรับนักเรียนเกรด 8 ขึ้นมาจำนวน 311 แผน โดยใช้ AI รุ่นล่าสุด ได้แก่

  • ChatGPT (โมเดล GPT-4o)

  • Google Gemini (โมเดล 1.5 Flash)

  • Microsoft Copilot

ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจมาก เมื่อนำมาวิเคราะห์ด้วยหลักการ Bloom's taxonomy (กรอบการวัดทักษะการคิด) พบว่า 90% ของกิจกรรมที่ AI สร้างขึ้น เน้นแค่ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานอย่างการจำ การเข้าใจ และการนำไปใช้ แต่ขาดทักษะขั้นสูงอย่างการวิเคราะห์ ประเมินค่า และสร้างสรรค์ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบ Banks' model (การวัดความหลากหลายทางวัฒนธรรม) มีเพียง 6% ของแผนการสอนเท่านั้นที่สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลาย และส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงเรื่องราวผิวเผินเกี่ยวกับบุคคลสำคัญหรือวันหยุด มากกว่าจะเจาะลึกมุมมองที่แตกต่างของกลุ่มคนที่ถูกมองข้ามในประวัติศาสตร์

ทีมวิจัยสรุปสั้นๆ ว่าแผนการสอนจาก AI นั้น “น่าเบื่อ เป็นแบบแผนดั้งเดิม และไม่สร้างแรงบันดาลใจ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะ AI ถูกสร้างมาเพื่อคาดเดาคำถัดไปจากข้อมูลมหาศาลบนอินเทอร์เน็ต ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเข้าใจบริบทของนักเรียนหรือห้องเรียนจริงๆ การพึ่งพามันมากเกินไปจึงอาจสร้างการศึกษาแบบ “One-size-fits-all” ที่สวนทางกับสิ่งที่การศึกษาต้องการ นั่นคือความยืดหยุ่นและการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่ได้บอกให้เลิกใช้ AI ไปเลย แต่แนะนำให้คุณครูเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รับสาร” มาเป็น “ผู้ใช้งานเชิงวิพากษ์” (Critical User) โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือตั้งต้นความคิด แล้วปรับแก้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะเขียน Prompt หรือคำสั่งที่ละเอียดและซับซ้อนขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดและมีคุณภาพมากกว่าเดิม สรุปคือ AI ก็เหมือนผู้ช่วยที่ขยันแต่ยังต้องให้ครูตัวจริงคอยคุมเกมอยู่ดี ไม่งั้นห้องเรียนอาจจะกร่อยกว่าที่คิด

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้