ปวดหัวบ่อย? ผู้เชี่ยวชาญแนะ 9 สุดยอดอาหารในครัวที่อาจช่วยบรรเทาไมเกรนได้

เมื่ออาการปวดหัวหรือไมเกรนถามหา แทนที่จะคว้ายาแก้ปวดอย่าง Tylenol หรือ Advil ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ลองหันมามองของในครัว เพราะอาหารบางชนิดอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการได้ แม้จะไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
หลายคนคงคุ้นเคยกับการพึ่งยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดหัว แต่ Dr. Nicholas Church ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว บอกว่า อาการไมเกรนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมาก สิ่งที่ช่วยคนหนึ่งได้ อาจไม่ส่งผลกับอีกคนเลยก็ได้ แถมสิ่งที่กระตุ้นอาการในคนหนึ่ง อาจกลายเป็นตัวช่วยของอีกคนก็มี ดังนั้น การใส่ใจเรื่องความเครียด การนอนหลับ การดื่มน้ำ และการออกกำลังกายจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญไม่แพ้กัน
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องอาหารการกิน ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ได้ลิสต์อาหารที่อาจมีศักยภาพในการต่อกรกับอาการปวดหัวมาให้ลองพิจารณากันดู
อาหารที่อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวและไมเกรน:
- อาหารที่อุดมด้วย Omega-3: เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน รวมถึงเมล็ดเจีย วอลนัท และเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) เพราะไขมันดีอย่าง EPA และ DHA มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้ จากงานวิจัยในปี 2021 พบว่า Omega-3 ช่วยควบคุม Prostaglandins (สารคล้ายฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการอักเสบและความเจ็บปวด)
- อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง (Magnesium): มีงานวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นไมเกรนมักมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าปกติ การทานอาหารอย่างเมล็ดฟักทอง ผักโขม อะโวคาโด คะน้า หรือบรอกโคลี จึงอาจช่วยลดความรุนแรงของอาการได้
- ขิง: โดยเฉพาะชาขิง เป็นที่รู้กันดีว่าช่วยลดอาการคลื่นไส้และลดการอักเสบที่นำไปสู่การปวดไมเกรนได้ มีงานวิจัยในปี 2014 ชี้ว่าผงขิงมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยา Sumatriptan แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
- ถั่วและเมล็ดพืช: อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน และวอลนัท นอกจากจะอุดมไปด้วยแมกนีเซียมแล้ว บางชนิดยังมีวิตามิน E ซึ่งมีส่วนช่วยเรื่องไมเกรนที่สัมพันธ์กับรอบเดือน
- อบเชย (Cinnamon): มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่อาจช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวได้ งานวิจัยในปี 2020 พบว่าอบเชยอาจช่วยลดการอักเสบ ซึ่งส่งผลให้ความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของไมเกรนลดลง
- อาหารที่มีวิตามิน B2 (Riboflavin): เช่น ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วิตามิน B2 จำเป็นต่อการสร้างพลังงานในระดับเซลล์สมอง ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าความผิดปกติในส่วนนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของไมเกรน
- ขมิ้น (Turmeric): สารออกฤทธิ์อย่าง Curcumin มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และจะทำงานได้ดียิ่งขึ้นเมื่อทานคู่กับ Omega-3 มีงานวิจัยในปี 2021 ชี้ว่าการทานร่วมกันเป็นแนวทางใหม่ที่น่าสนใจในการจัดการไมเกรน
- โฮลเกรน (Whole grains): เช่น ควินัว ข้าวกล้อง และข้าวโอ๊ต ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ป้องกันภาวะน้ำตาลตกซึ่งกระตุ้นให้ปวดหัวได้ แถมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งงานวิจัยปี 2023 พบว่าการเพิ่มไฟเบอร์ในอาหารช่วยลดโอกาสการปวดหัวรุนแรงได้
- อาหารที่มีน้ำเยอะ: แตงโม แตงกวา และผลไม้รสเปรี้ยว เพราะภาวะขาดน้ำเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด การดื่มน้ำให้เพียงพอและทานอาหารฉ่ำน้ำจึงช่วยได้มาก
ในทางกลับกัน ก็มีอาหารบางชนิดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี Dr. Adam Lowenstein เผยว่าอาหารอย่างช็อกโกแลต ชีส และแอลกอฮอล์ เป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุด ส่วน Gluten ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบในผู้ที่แพ้หรือไวต่อสารนี้ได้
ที่น่าสนใจคือกรณีของคาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคม การบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณ 40–100 มิลลิกรัม) อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ เพราะช่วยให้ยาแก้ปวดดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปและเป็นประจำ อาจนำไปสู่ 'อาการปวดหัวจากการขาดคาเฟอีน' (Rebound Headaches) ได้เช่นกัน ดังนั้น ความพอดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สุดท้ายนี้ การเลี่ยงอาหารแปรรูปสูงที่มีสารปรุงแต่งอย่างไนเตรต (Nitrates) หรือผงชูรส (MSG) ก็เป็นอีกทางที่ช่วยลดความเสี่ยงได้... ดูเหมือนว่าการแก้ปัญหาปวดหัวครั้งต่อไป อาจเริ่มต้นง่ายๆ ที่การเปิดตู้เย็นในครัวของคุณเองก็ได้ ใครจะไปรู้
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้