ข้ามไปยังเนื้อหา

สหรัฐฯ กวาดเม็ดเงินลงทุนชิปกว่า 90% ทั่วโลกในปี 2025 ขึ้นแท่นฐานผลิตหลัก

เทคโนโลยี
2 ครั้ง
0 ความเห็น
3 นาที
สหรัฐฯ กวาดเม็ดเงินลงทุนชิปกว่า 90% ทั่วโลกในปี 2025 ขึ้นแท่นฐานผลิตหลัก
Photo by Pixabay on Pexels
By Suphansa Makpayab
TL;DR

สหรัฐฯ กลายเป็นเป้าหมายหลักของการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ กวาดส่วนแบ่ง FDI ไปถึง 90% ในปี 2025 นำโดยยักษ์ใหญ่อย่าง TSMC และ Samsung ที่ต้องเร่งขยายฐานผลิตในอเมริกาเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีของรัฐบาล Trump พร้อมดันเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm และ 1.6nm เข้าสู่แผ่นดินลุงแซมเต็มสูบ

ดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ได้มาเล่น ๆ ในสมรภูมิชิปโลกอีกต่อไป เพราะล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ดินแดนแห่งเสรีภาพกำลังเปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้า มาเป็นผู้ผลิตเชิงรุกแบบเต็มตัว โดยมีปัจจัยหนุนจากการเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาล Trump ที่ทำให้ความต้องการชิปในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนบรรดาบิ๊กเทคฯ ต้องตบเท้าเข้ามาลงทุนกันยกใหญ่

จากรายงานของ McKinsey ระบุตัวเลขที่ทำเอาหลายคนต้องขยี้ตา เพราะในปี 2025 เพียงปีเดียว เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ในอุตสาหกรรมชิปเกือบ 90% ไหลไปกองรวมกันอยู่ที่สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นการจับมือกันระหว่างบริษัทจากไต้หวันและเกาหลีใต้ ซึ่งแน่นอนว่าพระเอกของงานนี้หนีไม่พ้น TSMC ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาลเพื่อสร้าง Supply Chain ที่แข็งแกร่งในอเมริกา

ความเคลื่อนไหวของ TSMC ในรัฐ Arizona ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญ โดยปัจจุบันโรงงานแห่งนี้กำลังเดินหน้าผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 4nm และมีแผนจะขยายไปสู่ระดับ A16 (1.6nm) ในอนาคต นี่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็น Hub ของเซมิคอนดักเตอร์โลกเคียงคู่กับไต้หวัน

ทางด้านเกาหลีใต้ก็ไม่น้อยหน้า Samsung และ Micron ต่างก็พาเหรดกันเข้ามาลงทุนเช่นกัน แม้โรงงาน Samsung ในเมือง Taylor จะเคยประสบปัญหาล่าช้าหลังจากได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ในยุคของ Biden แต่รายงานล่าสุดยืนยันว่าทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทางแล้ว พร้อมเดินหน้าพัฒนาการผลิตระดับ SF2 (2nm) แถมยังได้รับออเดอร์สำคัญสำหรับชิป AI ของ Tesla อีกด้วย เรียกว่า Samsung กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ ไปเรียบร้อย

สาเหตุหลักที่ทำให้ฐานการผลิตย้ายมาคึกคักในฝั่งตะวันตก คงหนีไม่พ้นนโยบายของ Trump ที่มองเรื่องชิปเป็น "ความมั่นคงแห่งชาติ" ถึงขั้นขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากบริษัทอย่าง TSMC ไม่ยอมมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ ซึ่งเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทอเมริกัน ยักษ์ใหญ่จากไต้หวันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสร้างไลน์การผลิตที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์เจ้าบ้านให้ได้มากที่สุด

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ฝั่งยุโรปเองก็เริ่มตื่นตัวในการปกป้องฐานเทคโนโลยีของตัวเองเช่นกัน โดยมีการดึง TSMC ไปลงทุนในเยอรมนี ซึ่งภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่จาก "ตะวันออก" สู่ "ตะวันตก" แม้จะไม่การันตีว่าชาติตะวันตกจะพึ่งพาตัวเองได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ทำให้อุ่นใจได้ว่ามีของดีอยู่ในบ้านตัวเอง เรียกว่าโดนบีบให้มาสร้างโรงงานกันขนาดนี้ ถ้ายังไม่มาก็คงต้องเตรียมจ่ายค่าผ่านทางกันกระเป๋าฉีกแน่นอน

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้