ข้ามไปยังเนื้อหา

Securus ใช้ AI ดักฟังเสียงนักโทษ หวังทำนายอาชญากรรมล่วงหน้า

เทคโนโลยี
0 ครั้ง
0 ความเห็น
3 นาที
Securus ใช้ AI ดักฟังเสียงนักโทษ หวังทำนายอาชญากรรมล่วงหน้า
Photo by Pixabay on Pexels
By Suphansa Makpayab
TL;DR

Securus Technologies พัฒนา AI โดยเทรนจากข้อมูลการสนทนาของนักโทษหลายปี เพื่อทำนายและป้องกันอาชญากรรมแบบ Real-time ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องสิทธิมนุษยชนและการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้นักโทษผ่านกฎใหม่ของ FCC

ฟังดูเหมือนพล็อตหนัง Sci-Fi อย่าง Minority Report เข้าไปทุกที เมื่อ Securus Technologies ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมในเรือนจำสหรัฐฯ กำลังทดสอบระบบ AI ที่ถูกเทรนด้วยข้อมูลการสนทนาทางโทรศัพท์และวิดีโอคอลของนักโทษต่อเนื่องหลายปี เพื่อเป้าหมายในการ "ทำนาย" และระงับเหตุอาชญากรรมก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง โดย Kevin Elder ประธานบริษัทเผยว่าพวกเขาเริ่มสร้างเครื่องมือนี้มาตั้งแต่ปี 2023 และกำลัง Pilot ใช้งานจริงเพื่อสแกนการสื่อสารทั้งภาพและเสียงในแบบ Real-time

ในเชิงเทคนิค Securus ใช้ Large Language Model (LLM) เข้ามาจับแพทเทิร์นจากฐานข้อมูลมหาศาล (เช่น ข้อมูลการโทร 7 ปีจากเรือนจำเท็กซัส) เพื่อตรวจจับสัญญาณของการวางแผนอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ แก๊งในคุก หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ลักลอบนำของผิดกฎหมายเข้ามา ระบบจะทำการ Flag จุดที่น่าสงสัยส่งให้เจ้าหน้าที่มนุษย์ตรวจสอบซ้ำ ก่อนจะส่งต่อให้ทีมสอบสวนดำเนินการ ซึ่งทางบริษัทเคลมว่าวิธีนี้จะช่วยให้ "ดักทาง" ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงที่อาชญากรรมยังเป็นแค่ความคิด

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ประเด็นที่น่ากังวลคือเรื่องของ Privacy และสิ่งที่เรียกว่า "Coercive Consent" หรือความยินยอมแบบจำยอม เพราะนักโทษและครอบครัวไม่มีทางเลือกอื่นในการติดต่อสื่อสาร นอกจากต้องยอมถูกบันทึกเสียง ที่แสบกว่านั้นคือ Bianca Tylek จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน Worth Rises ชี้ว่า นอกจากนักโทษจะไม่ได้ค่าตอบแทนจากการเอาข้อมูลไปเทรน AI แล้ว พวกเขายังต้องเป็นคน "จ่ายเงิน" ค่าโทรศัพท์แพงๆ เพื่อให้ตัวเองถูกดักฟังอีกต่างหาก

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ FCC (กสทช. สหรัฐฯ) ภายใต้การนำของ Brendan Carr มีมติใหม่เมื่อปลายเดือนตุลาคม อนุญาตให้บริษัทโทรคมนาคมสามารถผลักภาระต้นทุนด้านความปลอดภัย (ซึ่งรวมถึงการทำ AI ตัวนี้) ไปเก็บกับนักโทษได้ โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งถือเป็นการกลับลำจากนโยบายเดิมที่เคยห้ามไว้ ทำให้ Securus และบริษัทอื่นมีช่องทางหาทุนมาพัฒนาระบบสอดแนมนี้ได้ง่ายขึ้นจากกระเป๋าตังค์ของผู้ถูกคุมขังเอง

สุดท้ายแล้ว แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้าแค่ไหน แต่คำถามเรื่องจริยธรรมยังคงเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะเมื่อ Securus เคยมีประวัติทำข้อมูลหลุดจนทนายความและลูกความถูกดักฟังอย่างไม่ถูกต้องมาก่อน การใช้ AI เข้ามาช่วยอาจจะดูดีในแง่ประสิทธิภาพ แต่ถ้าเส้นแบ่งระหว่าง "การป้องกันภัย" กับ "การละเมิดสิทธิ" มันเบลอจนแยกไม่ออก เราอาจจะได้เห็นโลกที่เทคโนโลยีวิ่งนำหน้ากฎหมายไปไกลจนกู่ไม่กลับครับ

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้