ข้ามไปยังเนื้อหา

บอส Instagram ชี้ AI คือดาบสองคม: ใคร ๆ ก็เป็น Creator ได้ แต่จะเชื่ออะไรได้อีก?

สุขภาพ
1 ครั้ง
0 ความเห็น
1 นาที
บอส Instagram ชี้ AI คือดาบสองคม: ใคร ๆ ก็เป็น Creator ได้ แต่จะเชื่ออะไรได้อีก?
Photo by Cedrik Wesche on Unsplash
By Suphansa Makpayab
TL;DR

Adam Mosseri หัวเรือใหญ่ Instagram มองว่า AI จะเปิดโอกาสให้คนธรรมดากลายเป็น Creator ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยอมรับว่ามันมาพร้อมความเสี่ยงเรื่องข่าวปลอม และเด็กรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้ที่จะไม่เชื่อทุกอย่างที่เห็นในวิดีโอ

Adam Mosseri หัวเรือใหญ่ของ Instagram ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ในงาน Bloomberg Screentime ว่าเทคโนโลยี AI กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนเกม ทำให้ใครก็ตามสามารถเป็น Creator ได้ เพราะมันช่วยลดต้นทุนการผลิตคอนเทนต์จนแทบจะเป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยอมรับว่านี่คือดาบสองคมที่อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ในทางที่ผิด และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องสอนเด็กรุ่นใหม่ว่า "อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็นในวิดีโอ"

มุมมองนี้เกิดขึ้นหลังจาก MrBeast (Jimmy Donaldson) Creator ชื่อดังออกมาแสดงความกังวลว่า วิดีโอที่สร้างโดย AI อาจเข้ามาคุกคามอาชีพของ Creator ในไม่ช้า ซึ่ง Mosseri ก็ได้โต้กลับเบา ๆ ว่า Creator ส่วนใหญ่คงไม่ได้ใช้ AI เพื่อสร้างผลงานสเกลยักษ์แบบที่ MrBeast ทำ แต่จะใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานได้มากขึ้นและดีขึ้นต่างหาก เขาเปรียบเทียบว่า "ถ้าอินเทอร์เน็ตทำให้ต้นทุนการเผยแพร่ (Distribution) เป็นศูนย์ Generative AI ก็กำลังจะทำให้ต้นทุนการผลิต (Production) เป็นศูนย์เช่นกัน"

ที่น่าสนใจคือ Mosseri ชี้ว่าทุกวันนี้มีคอนเทนต์แบบ "Hybrid" อยู่เต็มไปหมดแล้ว คือการที่ Creator ใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงาน เช่น ใช้ปรับสีหรือใส่ฟิลเตอร์ แต่ไม่ได้สร้างคอนเทนต์สังเคราะห์ขึ้นมาทั้งชิ้น ซึ่งในอนาคตเส้นแบ่งระหว่างของจริงกับสิ่งที่ AI สร้างจะยิ่งเบลอลงไปอีก ทำให้การแปะป้ายว่าคอนเทนต์ไหนคือ AI กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

เจ้าตัวยอมรับว่า Meta เองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบในการระบุคอนเทนต์ AI แต่ความพยายามครั้งแรกที่จะใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติกลับกลายเป็นเรื่อง "เสียแรงเปล่า" (a fool’s errand) เพราะระบบดันไปติดป้ายว่าคอนเทนต์จริงเป็น AI เพียงเพราะมีการใช้เครื่องมืออย่าง Adobe ในการตัดต่อ ซึ่งตอนนี้ทีมกำลังหาทางแก้ไขอยู่

แต่ความรับผิดชอบก็ไม่ได้อยู่ที่แพลตฟอร์มฝ่ายเดียว Mosseri ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า สังคมเองก็ต้องปรับตัว เขาเล่าถึงลูก ๆ ของเขาว่า "ผมต้องสอนให้พวกเขารู้ว่า เมื่อโตขึ้นและท่องโลกอินเทอร์เน็ต การได้เห็นวิดีโออะไรสักอย่าง ไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง" ซึ่งต่างจากยุคของเขาที่วิดีโอคือการบันทึกเหตุการณ์จริงเสมอ เด็กยุคใหม่จะต้องคิดวิเคราะห์ว่าใครคือคนพูด ใครคือคนแชร์ และพวกเขามีแรงจูงใจอะไร

ดูเหมือนว่าต่อไปนี้ การไถฟีดอาจต้องพกสกิลนักสืบติดตัวกันทุกคนซะแล้ว

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้