ข้ามไปยังเนื้อหา

วิจัยล่าสุดเผย การใช้แอนติบอดีดัดแปลงอาจช่วยคุมเชื้อ HIV ได้นานนับปีโดยไม่ต้องพึ่งยา

สุขภาพ
3 ครั้ง
0 ความเห็น
2 นาที
วิจัยล่าสุดเผย การใช้แอนติบอดีดัดแปลงอาจช่วยคุมเชื้อ HIV ได้นานนับปีโดยไม่ต้องพึ่งยา
Photo by cottonbro studio on Pexels
By Suphansa Makpayab
TL;DR

การทดลองทางคลินิก FRESH และ RIO เผยผลลัพธ์น่าทึ่ง เมื่อการใช้ Broadly Neutralizing Antibodies ช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV บางรายสามารถคุมระดับไวรัสได้นานนับปีโดยไม่ต้องทานยาต้านไวรัส ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ของ 'Functional Cure' ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้จัดการเชื้อได้เองเหมือนวัคซีน

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา คำว่า "หายขาด" แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ที่ต้องพึ่งยาต้านไวรัส (Antiretrovirals) ไปตลอดชีวิตเพื่อกดเชื้อไว้ แต่วันนี้วงการแพทย์อาจกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อผลการทดลองล่าสุดจากโครงการวิจัยระดับโลกชี้ว่า เราอาจสร้าง "Functional Cure" หรือภาวะสงบของโรคได้จริง โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่น่าจับตามองที่สุดในรอบหลายปี

ไฮไลต์อยู่ที่การทดลอง 2 โครงการใหญ่อย่าง FRESH ในแอฟริกาใต้ และ RIO ในยุโรป ที่ใช้วิธีฉีด "Broadly Neutralizing Antibodies" (แอนติบอดีที่ถูกวิศวกรรมมาพิเศษ) เข้าสู่ร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้ทำเอานักวิจัยตาเป็นประกาย เพราะมีอาสาสมัครจำนวนหนึ่งสามารถควบคุมระดับไวรัสให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก (Undetectable) ได้นานนับปีหลังจากหยุดยาต้านไวรัส ซึ่งในเคสของ RIO มีผู้เข้าร่วมถึง 6 คนที่คุมอาการได้นานกว่า 2 ปี โดยไม่ต้องพึ่งยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว

ความเจ๋งของวิธีนี้คือมันไม่ได้แค่เข้าไป "จับ" ไวรัสเหมือนยาปกติ แต่มันทำหน้าที่คล้าย "วัคซีน" ที่ไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ให้ตื่นตัว โดยเฉพาะเจ้า CD8+ T cells ให้เรียนรู้ที่จะจดจำและออกล่าเซลล์ที่ติดเชื้อได้เอง แม้ว่าตัวแอนติบอดีที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปหมดแล้วก็ตาม นี่คือการสร้าง "Immune Memory" ที่อาจเปลี่ยนนิยามของการรักษา HIV จากการ "กดอาการ" ไปสู่การ "สงบโรค" ในระยะยาว

แม้ตอนนี้จะยังเร็วเกินไปที่จะใช้คำว่า "รักษาหายขาด" (Cure) แบบเต็มปาก และยังต้องมีการทดลองในสเกลที่ใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันผลกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ แต่ก้าวเล็กๆ นี้คือความหวังครั้งใหญ่ของคนกว่า 40 ล้านทั่วโลก ที่อาจจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินยาตรงเวลา หรือแบกรับความเสี่ยงจากผลข้างเคียงอีกต่อไป งานนี้ไวรัสที่ว่าแน่และหลบเก่ง อาจจะต้องแพ้ให้กับวิศวกรรมภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้าสักวัน

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้