Figma อัปเกรดพลัง AI ดึง Gemini จาก Google มาช่วยงานดีไซน์

Figma แพลตฟอร์มดีไซน์ชื่อดัง ประกาศจับมือกับ Google นำโมเดล AI อย่าง Gemini เข้ามาเสริมทัพในโปรแกรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างและแก้ไขภาพ พร้อมเร่งสปีดการทำงานให้นักออกแบบทั่วโลก
วงการดีไซน์มีเรื่องให้ว้าวกันอีกแล้ว เมื่อ Figma แพลตฟอร์มออกแบบยอดฮิต ประกาศจับมือกับ Google เพื่อนำโมเดล AI สุดล้ำเข้ามาเสริมทัพ หลังจากที่เคยพัฒนาเครื่องมือ AI ของตัวเองไปแล้วรอบหนึ่ง คราวนี้เป็นการดึง Gemini เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของเหล่านักออกแบบและทีมงานโดยเฉพาะ
การร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ Figma มีอาวุธใหม่เป็นโมเดล AI จาก Google ถึง 3 ตัวด้วยกัน คือ Gemini 2.5 Flash, Gemini 2.0 และ Imagen 4 โดยเฉพาะ Gemini 2.5 Flash จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการแก้ไขและสร้างภาพโดยตรง ทำให้ผู้ใช้งานกว่า 13 ล้านคนต่อเดือน สามารถสั่งสร้างภาพด้วย Prompt และแก้ไขได้ทันที ซึ่งจากการทดสอบก่อนหน้านี้ พบว่าฟีเจอร์ "Make Image" ทำงานเร็วขึ้น ลดความหน่วง (Latency) ไปได้ถึง 50% เลยทีเดียว
ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ Figma กับ Google แต่เป็นภาพสะท้อนสงคราม AI ที่กำลังดุเดือด ค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพยายามนำโมเดลของตัวเองไปฝังอยู่ในแอปพลิเคชันดัง ๆ ที่มีฐานผู้ใช้มหาศาลเพื่อชิงความได้เปรียบ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา OpenAI ก็เพิ่งประกาศให้ผู้ใช้ "แชต" กับแอปต่าง ๆ ใน ChatGPT ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีชื่อ Figma รวมอยู่ด้วย นั่นหมายความว่าดีลกับ Google ครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาแบบผูกขาดแต่อย่างใด
ข่าวนี้ออกมาพร้อมกับการเปิดตัว Gemini Enterprise ของ Google ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI สำหรับลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ สะท้อนกลยุทธ์ของ Google ที่ต้องการผลักดัน AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานในบริษัทต่าง ๆ และสร้างรายได้จากตรงนั้น เพราะในขณะที่กำไรจาก AI ส่วนใหญ่มาจากผู้บริโภคทั่วไป โครงการนำร่อง AI ในองค์กรกลับล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง Google จึงต้องรีบชูจุดเด่นว่าลูกค้า Google Cloud ถึง 65% กำลังใช้งานผลิตภัณฑ์ AI ของบริษัทอยู่
นอกเหนือจาก Figma แล้ว Google ยังประกาศดีลกับแบรนด์ใหญ่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น GAP, Klarna, Mercedes, และ Virgin Voyages เรียกว่าเป็นการเดินเกมรุกหนักเพื่อปูพรมให้ AI ของตัวเองเข้าไปอยู่ในทุกที่...ดูทรงแล้วต่อไปนี้คงไม่มีใครหนี AI พ้น
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้