Apple Watch Series 11 vs Series 10 อัปเกรดดีไหม? จุดต่างที่มีผลกับชีวิตประจำวัน

งานกันยายนของ Apple เน้น iPhone แต่ Apple Watch Series 11 แอบอัปเกรดของใช้จริงมาเพียบ ถึงหน้าตาจะเหมือน Series 10 แทบทุกมุม แต่มีของสำคัญเพิ่มคือแบตอยู่ได้สูงสุด 24 ชั่วโมง, รองรับ 5G บนรุ่น Cellular และกระจก Ion-X ในรุ่นอะลูมิเนียมที่ทนรอยขีดข่วนมากขึ้น เปิดราคาที่ $399 (ประมาณ 14,800 บาท) และยังมีขนาดเคส 42 มม. และ 46 มม. เหมือนเดิม

ดีไซน์และจอแทบแยกไม่ออก ทั้งคู่ใช้เคสบางในวัสดุอะลูมิเนียมหรือไทเทเนียม พร้อมจอ Retina LTPO OLED แบบ Always‑On สว่างได้สูงสุด 2,000 nits จุดต่างอยู่ใต้ผิว: รุ่นอะลูมิเนียมของ Series 11 ใช้กระจก Ion‑X เคลือบเซรามิกที่ Apple บอกว่าทนรอยได้มากกว่า Series 10 ราวสองเท่า ช่วยลดรอยถลอกจากการใช้งานทุกวัน

ประสิทธิภาพยังลื่นไหลเท่าเดิมด้วยชิป S10 ทั้งสองรุ่น แต่การเชื่อมต่อคือเกมคนละด่าน Series 11 รุ่น Cellular รองรับ 5G ขณะที่ Series 10 ยังอยู่ที่ LTE ถ้าคุณชอบออกไปวิ่งหรือแวะคาเฟ่แบบไม่พก iPhone การมี 5G จะทำให้สบายใจกว่า

ฟีเจอร์สุขภาพจัดเต็มเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ECG, วัดออกซิเจนในเลือด, วัดอุณหภูมิ, แจ้งเตือนภาวะหยุดหายใจขณะนอน และคะแนนการนอน จุดใหม่ของ Series 11 คือการแจ้งเตือนความดันโลหิตสูง แต่ Apple ยืนยันว่าจะปล่อยให้ Series 10, Series 9 และ Ultra 2 ผ่าน watchOS 26 ด้วย ดังนั้นถ้าสนใจเฉพาะแจ้งเตือนความดัน ยังไม่ต้องรีบเปลี่ยนก็ได้ ทั้งสองรุ่นรัน watchOS 26 มี Smart Stack โฉมใหม่ โหมดออกกำลังกายเพิ่ม และแดชบอร์ดสุขภาพที่อัปเดต โดยประสบการณ์ซอฟต์แวร์แทบไม่ต่าง

แบตเตอรี่คือจุดที่เห็นผลที่สุด Series 11 ขยับจาก 18 ชั่วโมงเป็นสูงสุด 24 ชั่วโมง ใช้งานได้ยาวทั้งวันต่อเนื่องถึงกลางคืนได้สบาย แม้ทั้งคู่จะรองรับชาร์จเร็วเหมือนกัน แต่ Series 11 ให้ระยะห่างจากแท่นชาร์จมากขึ้นในชีวิตจริง

ควรอัปเกรดไหม ถ้าคุณมาจาก Series 8 หรือต่ำกว่านั้น จะรู้สึกถึงความต่างชัด แต่ถ้ามี Series 10 อยู่แล้ว การอัปเกรดจะคุ้มเมื่อคุณต้องการแบต 24 ชั่วโมง, 5G และกระจกที่อึดขึ้น ไม่อย่างนั้นเก็บเงินไว้หรือมองหา Series 10 ที่เริ่มมีราคาลดก็น่าเล่น แถมสายเดิมยังใช้ต่อได้หมดเพราะขนาดเคสและการเข้ากันของสายนั้นเหมือนกัน