ข้ามไปยังเนื้อหา

ห้ามมือถือในโรงเรียนดีจริงหรือ? งานวิจัยชี้ อาจทำเด็กบางคนเหงากว่าเดิม

วิทยาศาสตร์
1 ครั้ง
0 ความเห็น
1 นาที
ห้ามมือถือในโรงเรียนดีจริงหรือ? งานวิจัยชี้ อาจทำเด็กบางคนเหงากว่าเดิม
Photo by Sóc Năng Động on Pexels
By Suphansa Makpayab
TL;DR

งานวิจัยในเนเธอร์แลนด์พบว่า การแบนมือถือในโรงเรียนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของนักเรียนบางกลุ่ม โดยเฉพาะการเพิ่มความรู้สึกเหงาทางอารมณ์ (Emotional Loneliness) แม้หลักฐานโดยรวมยังไม่ชัดเจนและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องเวลาหน้าจอของเด็ก ๆ ที่หลายโรงเรียนเริ่มออกกฎห้ามใช้ Smartphone ตลอดทั้งวัน แต่ผลการศึกษาล่าสุดจากเนเธอร์แลนด์กลับชี้ว่า นโยบายนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของนักเรียนบางคน ทำให้พวกเขารู้สึกเหงามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปรับตัว

งานวิจัยนี้ นำโดย Sanyogita Khare จาก Radboud University ได้สำรวจนักเรียนมัธยมในเนเธอร์แลนด์ 2 แห่ง ทั้งก่อนและหลังการบังคับใช้กฎห้ามใช้มือถือทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2024 โดยวัดระดับความเหงา 2 รูปแบบ คือ Social loneliness (ความเหงาในสังคม คือการรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม) และ Emotional loneliness (ความเหงาทางอารมณ์ คือการขาดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อน)

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ ทีมวิจัยไม่พบการเปลี่ยนแปลงโดยรวมในด้าน Social loneliness แต่กลับพบว่าระดับ Emotional loneliness เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะนักเรียนไม่สามารถติดต่อเพื่อนสนิทที่อยู่ต่างโรงเรียนได้ในระหว่างวัน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กลุ่มนักเรียนที่เข้าสังคมไม่เก่งอยู่แล้ว กลับยิ่งรู้สึกเหงาในสังคม (Socially lonely) มากขึ้นไปอีกหลังมีกฎนี้

อย่างไรก็ตาม Jonathan Cantor จากองค์กรวิจัย RAND ในแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสังเกตว่า งานวิจัยนี้ยังขาดกลุ่มเปรียบเทียบ (โรงเรียนที่ไม่ได้แบนมือถือ) ทำให้ไม่สามารถฟันธงได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายแบนมือถือจริง ๆ หรือเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแวดวงการศึกษายังขาดข้อมูลที่หนักแน่นพอที่จะประเมินผลกระทบของนโยบายนี้ได้อย่างรอบด้าน

ดูเหมือนว่าการแบนมือถือในโรงเรียนอาจไม่ใช่ยาวิเศษที่แก้ได้ทุกปัญหาอย่างที่หลายคนคาดหวัง เผลอ ๆ อาจสร้างปัญหาใหม่ให้ต้องมานั่งขบคิดกันอีกยกใหญ่เลยทีเดียว

ความเห็น (0)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น

เข้าสู่ระบบ

ยังไม่มีความเห็น

เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้