งานวิจัยชี้ Climate Change ต้นเหตุเฮอริเคน Melissa รุนแรงขึ้น

เฮอริเคน Melissa ระดับ Category 5 ถล่มแคริบเบียนสร้างความเสียหายยับเยิน โดยงานวิจัยล่าสุดจาก Imperial College London ชี้ว่าภาวะโลกร้อนคือตัวการสำคัญที่ทำให้พายุลูกนี้มีโอกาสเกิดรุนแรงขึ้นถึง 4 เท่า และสร้างความเสียหายหนักกว่าเดิม
เฮอริเคน Melissa ความรุนแรงระดับ Category 5 พายุระดับสูงสุด ได้พัดถล่มจาเมกา เฮติ และคิวบาอย่างหนักเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 40 ราย พร้อมทิ้งร่องรอยความเสียหายมหาศาล ซึ่งงานวิจัยชิ้นใหม่ชี้เปรี้ยงว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์ คือตัวการที่ทำให้พายุลูกนี้มีโอกาสเกิดขึ้นและรุนแรงกว่าปกติถึง 4 เท่า
ภาพความเสียหายที่ถูกรายงานออกมานั้นเรียกได้ว่าย่อยยับ โดยเฉพาะทางตะวันตกของจาเมกาที่โดนผลกระทบหนักที่สุด ด้วยความเร็วลมสูงถึง 185 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 297 กม./ชม.) และฝนที่ตกกระหน่ำ ทำให้บ้านเรือนทั้งย่านราบเป็นหน้ากลอง พื้นที่เกษตรกรรมพังพินาศ และประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวกว่า 25,000 คนต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่น่าสนใจคือ งานศึกษาจาก Imperial College London ระบุว่า Climate Change ได้เพิ่มความเร็วลมของ Melissa ขึ้นถึง 7% ซึ่งส่งผลให้ความเสียหายพุ่งสูงขึ้นอีก 12%
เบื้องหลังความรุนแรงนี้คืออุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นผิดปกติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับพายุ โดยงานวิเคราะห์จาก Climate Central พบว่าอุณหภูมิน้ำทะเลในแถบแคริบเบียนสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2.5 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นสภาวะที่ภาวะโลกร้อนทำให้มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยกว่าเดิมถึง 700 เท่า! ความร้อนที่สะสมลึกลงไปใต้ผิวน้ำยังเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว” (Rapid Intensification) จนผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับบอกว่ามันคือการ “ติดเทอร์โบ” ให้กับพายุดี ๆ นี่เอง
ทีมวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้แบบจำลองที่เรียกว่า IRIS เพื่อเปรียบเทียบโอกาสการเกิดพายุรุนแรงระดับนี้ในยุคก่อนอุตสาหกรรมกับยุคปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าตกใจไม่น้อย เพราะในอดีต พายุแบบ Melissa มีโอกาสถล่มจาเมกาเพียง 1 ครั้งในรอบ 8,000 ปี แต่ในโลกที่ร้อนขึ้นทุกวันนี้ โอกาสดังกล่าวกลับถี่ขึ้นเป็น 1 ครั้งในรอบ 1,700 ปี
ในมิติของความเสียหายทางเศรษฐกิจ ตัวเลขประเมินเบื้องต้นจาก AccuWeather อาจสูงถึง US$52,000 ล้าน (≈ 1.68 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับจาเมกา ซึ่งมี GDP ของประเทศอยู่ที่ราว US$20,000 ล้าน (≈ 6.47 แสนล้านบาท) เท่านั้น ขณะที่สหรัฐฯ ได้ส่งทีมช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ แต่ก็มีความกังวลเรื่องงบประมาณบรรเทาทุกข์ที่ถูกตัดทอนไปก่อนหน้านี้
ดูเหมือนว่าธรรมชาติกำลังเริ่มส่งใบแจ้งหนี้จากภาวะโลกร้อนมาให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ และดูท่าว่าจะเป็นบิลที่แพงเอาเรื่องเสียด้วย
*หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 29 ต.ค. 2025 คือ US$1 = 32.38 บาท
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้