วิจัยชี้ ผู้ป่วย Eating Disorders เสี่ยงเสียชีวิต-อวัยวะล้มเหลวสูง แม้ผ่านไป 10 ปี

งานวิจัยขนาดใหญ่จาก University of Manchester เผยข้อมูลน่ากังวลเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคการกินผิดปกติ (Eating Disorders) ที่ไม่ได้มีแค่ผลกระทบทางจิตใจ แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและอวัยวะล้มเหลวสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว โดยความเสี่ยงนี้ไม่ได้หายไปไหนแต่ยังคงเกาะติดผู้ป่วยไปยาวนานนับทศวรรษ
โรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ หรือ Eating Disorders (ED) มักถูกมองว่าเป็นปัญหาเรื่องความมั่นใจหรือรูปร่างภายนอก แต่ความจริงแล้วมันคือเพชฌฆาตเงียบที่กัดกินร่างกายลึกกว่าที่คิด ล่าสุดทีมวิจัยจาก University of Manchester ได้เปิดเผยผลการศึกษาขนาดใหญ่ที่ติดตามผู้ป่วย ED ในสหราชอาณาจักรจำนวนกว่า 24,709 ราย เปรียบเทียบกับกลุ่มคนทั่วไปเกือบ 5 แสนคน เพื่อดูผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงถึง 89% และสองในสามมีอายุระหว่าง 10 ถึง 24 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทั้งผู้ป่วย Anorexia Nervosa, Bulimia และ Binge Eating Disorder สิ่งที่น่าตกใจคือในช่วงปีแรกหลังได้รับการวินิจฉัย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า และหากเจาะจงไปที่การเสียชีวิตจากสาเหตุผิดธรรมชาติ เช่น การฆ่าตัวตาย หรือการใช้ยาเกินขนาด ความเสี่ยงจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 5 เท่าเลยทีเดียว
ประเด็นสำคัญที่งานวิจัยนี้ต้องการสื่อสารคือ "ผลกระทบระยะยาว" เพราะแม้เวลาจะผ่านไป 5 ถึง 10 ปี ตัวเลขความเสี่ยงเหล่านี้ก็ยังคงน่าเป็นห่วง โดยเมื่อผ่านไป 10 ปี อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย ED ยังคงสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายที่แม้จะลดลงจากปีแรก (ที่สูงถึง 14 เท่า) แต่ก็ยังคงสูงกว่าคนปกติถึง 3 เท่าอยู่ดี
ไม่ใช่แค่เรื่องของชีวิตและจิตใจ แต่ระบบอวัยวะภายในก็พังทลายไม่แพ้กัน ในปีแรกผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะไตวายสูงกว่าคนทั่วไป 6 เท่า และเสี่ยงต่อโรคตับเกือบ 7 เท่า นอกจากนี้ยังตามมาด้วยปัญหาสุขภาพเรื้อรังอย่าง โรคเบาหวาน และ โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงอยู่ในระดับสูงแม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปี
ทางด้าน Ethan Nella และ Jennifer Couturier นักวิจัยจาก McMaster University ได้ให้ความเห็นเสริมในบทบรรณาธิการว่า Eating Disorders ส่งผลกระทบต่อระบบอวัยวะหลายส่วนพร้อมกัน ดังนั้นการรักษาจะมองแค่จุดใดจุดหนึ่งไม่ได้ แต่ต้องเป็นการดูแลแบบบูรณาการที่เข้าใจถึงผลกระทบระยะยาวอย่างแท้จริง
งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Medicine เพื่อกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์ตระหนักว่า การรักษา ED ไม่ใช่แค่เรื่องของการปรับพฤติกรรมการกินให้กลับมาปกติแล้วจบกัน แต่ต้องมีการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพกายและใจกันไปยาวๆ แบบมาราธอนเลยทีเดียว
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้