ศึกมือถือบางเฉียบ! iPhone Air ปะทะ Galaxy S25 Edge ใครจะยืนหนึ่ง?

CNET สื่อสายเทคฯ ชื่อดัง ได้จับสองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่องความบางเฉียบอย่าง iPhone Air และ Samsung Galaxy S25 Edge มาเปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด เพื่อดูว่าในยุคที่มือถือกลับมาฮิตความบาง ใครจะทำได้ดีกว่ากันในแง่ของดีไซน์ สเปก และราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความพรีเมียมนี้
จากรีวิวของ CNET ดูเหมือนว่าเทรนด์ “มือถือบางเฉียบ” กำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง มีรายงาน (แม้จะยังไม่เป็นทางการ) ว่าลูกค้าหลายคนตั้งใจไปซื้อ iPhone 17 Pro แต่กลับเดินออกจากร้านพร้อมกับ iPhone Air รุ่นใหม่ที่บางกว่าแทน เช่นเดียวกับฝั่ง Samsung ที่พอเปิดตัว Galaxy S25 และ S25 Ultra ก็แอบแย้มรุ่นบางพิเศษอย่าง Galaxy S25 Edge ออกมาขโมยซีนไปเต็ม ๆ งานนี้เลยต้องจับมาชนกันหน่อยว่าศึกครั้งนี้ใครจะแน่กว่ากัน
เมื่อพูดถึงเรื่องราคา ทั้งสองค่ายวางตำแหน่งตัวเองไว้ชัดเจนในตลาดพรีเมียม แต่ก็มีกลยุทธ์ที่ต่างกันเล็กน้อย
iPhone Air: เปิดราคามาที่ US$999 (≈ 37,000 บาท) ซึ่งมาแทนที่ตำแหน่งของ iPhone 16 Plus เดิม ทำให้มันเป็นรุ่นจอใหญ่ที่ไม่ใช่ตัว Pro
Galaxy S25 Edge: ขยับราคาสูงขึ้นไปอีกนิดที่ US$1,100 (≈ 40,700 บาท) เหมือนจะจับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความแตกต่างแบบสุด ๆ
ที่น่าสนใจคือ Apple เคยใช้กลยุทธ์ตั้งราคาแพงสำหรับดีไซน์บางเฉียบมาแล้วกับ MacBook Air รุ่นแรกที่บางจนใส่ซองเอกสารได้ ส่วน Samsung แม้จะตั้งราคาสูง แต่ก็เริ่มมีโปรโมชันลดราคาแรง ๆ ออกมาให้เห็นแล้ว
มาถึงไฮไลต์อย่างความบาง iPhone Air ทำความหนาของตัวเครื่อง (ไม่นับส่วนกล้อง) ได้ที่ 5.64 มม. ขณะที่ S25 Edge หนาขึ้นมานิดเดียวที่ 5.8 มม. ซึ่งบางกว่า iPhone 17 (7.9 มม.) และ Galaxy S25 (7.2 มม.) อย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องน่าสนุกอยู่ตรงนี้ ถ้าเอาโทรศัพท์บาง ๆ สองเครื่องมาวางซ้อนกัน ความหนารวมจะอยู่ที่ 11.44 มม. ซึ่งเกือบจะเท่ากับความหนาของ iPhone รุ่นแรกในปี 2007 ที่ 11.6 มม. พอดีเป๊ะ! ส่วนน้ำหนัก iPhone Air อยู่ที่ 165 กรัม และ S25 Edge เบากว่าเล็กน้อยที่ 163 กรัม
ด้านจอแสดงผล iPhone Air มากับจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ที่สว่างสูงสุดถึง 3,000 nits ส่วน S25 Edge ให้จอใหญ่กว่าที่ 6.7 นิ้ว เป็น Dynamic AMOLED 2X ที่มีความละเอียดสูงกว่า แต่ความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 2,600 nits ทั้งคู่รองรับ Refresh Rate 120Hz ทำให้การใช้งานลื่นไหลไม่ต่างกัน
จุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องกล้อง iPhone Air เลือกใส่กล้องหลังมาให้แค่ตัวเดียว เป็นกล้องไวด์ 48MP ในขณะที่ S25 Edge จัดเต็มด้วยกล้องหลังคู่ คือกล้องไวด์ 200MP และกล้องอัลตร้าไวด์ 12MP แต่ทีเด็ดของ Apple อยู่ที่กล้องหน้า 18MP ที่เรียกว่า Center Stage ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ทรงสี่เหลี่ยม ทำให้สามารถถ่ายภาพแนวตั้งหรือแนวนอนได้โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์ แค่ตรวจจับจำนวนคนในเฟรมแล้วปรับให้เองอัตโนมัติ
แน่นอนว่าความบางต้องแลกมากับขนาดแบตเตอรี่ที่เล็กลง ทั้งสองรุ่นเคลมว่าใช้งานได้ “ตลอดวัน” แต่ก็ต้องยอมรับว่าอึดน้อยกว่ารุ่นปกติ โดย iPhone Air มีแบตเตอรี่เสริม MagSafe ขายแยก ส่วน S25 Edge มีแบตเตอรี่ขนาด 3,900 mAh ซึ่งรีวิวจาก CNET บอกว่า “เพียงพอที่จะทำให้มีความสุขกับดีไซน์ที่บางเฉียบ” แม้จะต้องชาร์จทุกคืนก็ตาม ด้านขุมพลัง iPhone Air ใช้ชิป A19 Pro ตัวเดียวกับรุ่น Pro ส่วน S25 Edge ใช้ Snapdragon 8 Elite เหมือนรุ่นอื่นในซีรีส์ S25
สุดท้ายแล้วก็ต้องเลือกว่าจะยอมพกพาวเวอร์แบงค์เพื่อแลกกับความเท่ หรือจะเลือกความอึดที่มาพร้อมความหนาแบบเดิม ๆ...เลือกเอา!
*อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เขียนข่าวคือ US$1 ≈ 37 บาท
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้