เจาะลึกสารปนเปื้อนในน้ำดื่ม พร้อมวิธีรับมือ

น้ำดื่มสะอาดคือปัจจัยสี่ที่ขาดไม่ได้ แต่ความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวดคือ น้ำประปาที่ผ่านการบำบัดมาแล้วอาจไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง 100% เสมอไป สาเหตุไม่ใช่แค่เรื่องขีดจำกัดด้านเทคโนโลยีหรืองบประมาณของโรงงานผลิตน้ำ แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างท่อส่งน้ำที่เก่าตามกาลเวลาและอุบัติเหตุระหว่างทาง ทำให้ภาระการกรองขั้นสุดท้ายเพื่อความชัวร์ตกมาอยู่ที่ผู้บริโภคอย่างเราที่ต้องหาตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจ

ก่อนจะตื่นตระหนก Kyle Postmus ผู้เชี่ยวชาญจาก NSF (National Sanitation Foundation หรือองค์กรรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก) แนะนำว่าให้ลองเช็กรายงานคุณภาพน้ำในท้องถิ่น หรือถ้าอยากเอาชัวร์ ชุดทดสอบน้ำดื่มแบบ Home Kit ราคาประมาณ US$30 (≈ 970 บาท) ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเช็กสารตะกั่ว แบคทีเรีย หรือคลอรีนส่วนเกิน เพราะบางครั้งสิ่งที่ตาเห็นว่าใส อาจซ่อนอะไรไว้มากกว่าที่คิด

สิ่งที่มักเล็ดลอดมากับน้ำดื่มมีตั้งแต่สารตะกั่วจากท่อเก่า, จุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนช่วงน้ำท่วม, ไปจนถึง Emerging Contaminants หรือสารปนเปื้อนอุบัติใหม่พวกยาและสารเคมี (PFAS) ที่ระบบบำบัดมาตรฐานอาจเอาไม่อยู่ รวมถึง VOCs และคลอรีนที่แม้จะไม่อันตรายต่อคนในปริมาณน้อย แต่กับสัตว์เลี้ยงประเภทปลาอาจเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งวิธีรับมือที่ฉลาดที่สุดคือการเลือกฟิลเตอร์ที่ตรงจุด:

• Lead (ตะกั่ว): มักมาจากท่อเก่า การเปลี่ยนท่อคือทางแก้ถาวร แต่เบื้องต้นให้ใช้เครื่องกรองที่ระบุว่ากำจัดตะกั่วได้ และหลีกเลี่ยงการนำน้ำร้อนจากก๊อกมาดื่มหรือปรุงอาหาร
• Microorganisms & Emerging Contaminants: การต้มช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ แต่สำหรับสารเคมีตกค้างและ PFAS ต้องมองหาเครื่องกรองมาตรฐาน NSF/ANSI 401 เท่านั้น
• Chlorine & VOCs: ไส้กรองแบบ Activated Carbon คือพระเอกในเรื่องนี้ ช่วยจัดการทั้งกลิ่นและสารระเหยได้อยู่หมัด ส่วนคลอรีนถ้าทิ้งน้ำไว้สักพักก็จะระเหยไปเองได้

สุดท้ายแล้ว การลงทุนกับเครื่องกรองน้ำดี ๆ สักเครื่องที่มีตราประทับ NSF Certified ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยแต่เป็นการซื้อความสบายใจ เพราะต่อให้น้ำใสแค่ไหน ถ้าไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ากำลังดื่มอะไรเข้าไปบ้าง กันไว้ดีกว่าแก้ ดีกว่าต้องมานั่งเสียใจตอนไตถามหานะครับ

หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณที่ 1 USD = 32.38 บาท