เน็ตช้าโทษใครดี? วิธีเช็กสปีดเน็ตแบบจับมือทำ ไขทุกคำศัพท์ที่คุณต้องรู้

เคยสงสัยไหมว่าค่าเน็ตที่จ่ายไป ได้ความเร็วกลับมาคุ้มค่าหรือเปล่า? บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีเทสต์สปีดเน็ตแบบง่ายๆ พร้อมไขความลับของค่า Download, Upload, Latency และ Jitter เพื่อให้คุณรู้ว่าควรจะโทรหาผู้ให้บริการ หรือได้เวลาเปลี่ยน Router ใหม่แล้ว
เคยรู้สึกไหมว่าเน็ตที่บ้านอืดเป็นเรือเกลือ ทั้งที่จ่ายบิลตรงเวลาทุกเดือน? หรือบางทีก็สงสัยว่าปัญหาอยู่ที่ผู้ให้บริการ (ISP) หรือ Router ของเรากันแน่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจทั้งหมดด้วยการทำ Speed Test ง่ายๆ ที่จะบอกได้มากกว่าแค่ความเร็วเน็ต แต่ยังช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรจะอัปเกรดแผน หรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่แล้ว
หลักการทำงานของเว็บเทสต์สปีดอย่าง Ookla ที่หลายคนคุ้นเคยนั้นไม่ซับซ้อน Luke Kehoe นักวิเคราะห์จาก Ookla อธิบายว่า มันคือการ “ปล่อยไฟล์ขนาดใหญ่” เข้าสู่ระบบเน็ตเวิร์กของเรา เพื่อทดสอบขีดความสามารถสูงสุดของสัญญาณอินเทอร์เน็ต ณ ขณะนั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะสะท้อนออกมาเป็นค่าตัวเลขสำคัญๆ ที่เราต้องมาทำความเข้าใจกัน
เมื่อเทสต์เสร็จ เราจะเจอศัพท์เทคนิคหลักๆ อยู่ 4 ตัว ที่เหมือนเป็นหัวใจของการวัดผล:
- Download Speed: คือความเร็วในการรับข้อมูลจาก Server มายังอุปกรณ์ของเรา เป็นตัวเลขที่ผู้ให้บริการชอบใช้โฆษณา ยิ่งค่านี้สูง ก็ยิ่งดูหนัง ฟังเพลง หรือโหลดไฟล์ได้ลื่นไหล
- Upload Speed: คือความเร็วในการส่งข้อมูลจากเครื่องเราออกไปข้างนอก สำคัญมากสำหรับสาย Content Creator, Gamer หรือคนที่ต้องประชุมออนไลน์บ่อยๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่า Upload จะน้อยกว่า Download มาก ยกเว้นเน็ตแบบ Fiber ที่มักจะให้ความเร็วเท่ากัน
- Latency (หรือ Ping): คือระยะเวลาที่ข้อมูลเดินทางไป-กลับจากอุปกรณ์ของเราไปยัง Server มีหน่วยเป็นมิลลิวินาที (ms) ยิ่งค่านี้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ต้องการการตอบสนองแบบทันทีทันใด ค่า Latency ที่ต่ำกว่า 20ms ถือว่ายอดเยี่ยม
- Jitter: คือความเสถียรของค่า Latency หรือพูดง่ายๆ คือความสม่ำเสมอของความเร็วในการรับส่งข้อมูล ถ้าค่า Latency ของเราดี แต่ค่า Jitter สูง ก็อาจเจออาการกระตุกหรือดีเลย์เป็นพักๆ ได้เหมือนกัน ค่า Jitter ที่ดีควรต่ำกว่า 5ms
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด ก่อนกดเทสต์สปีด ลองเตรียมตัวตามนี้ก่อน:
- เลือกการเชื่อมต่อ: ลองเทสต์ทั้งผ่านสาย LAN (Ethernet) และ Wi-Fi การเทสต์ผ่านสาย LAN จะบอกความเร็วที่แท้จริงที่ผู้ให้บริการส่งมาถึงบ้านคุณ ส่วนการเทสต์ผ่าน Wi-Fi จะทำให้เห็นว่าสัญญาณดร็อปลงไปแค่ไหนเมื่อเป็นไร้สาย
- ตัดการรบกวน: ปิดอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ให้หมดก่อน เพื่อให้การเทสต์วัดประสิทธิภาพได้เต็มที่
- ทดสอบในหลายๆ จุด: ลองเดินเทสต์ตามมุมต่างๆ ของบ้าน เพื่อดูว่าสัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมแค่ไหน ถ้าความเร็วตกฮวบในบางห้อง อาจถึงเวลาของ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender แล้ว
- ทดสอบต่างช่วงเวลา: ลองเทสต์ในช่วงเวลา Prime Time หรือ “ชั่วโมงเร่งด่วนของอินเทอร์เน็ต” เช่น ตอนค่ำๆ เพื่อดูว่าเน็ตของคุณรับมือกับช่วงเวลาที่มีคนใช้งานเยอะๆ ได้ดีแค่ไหน
เมื่อได้ผลลัพธ์มาแล้ว ถ้าพบว่าความเร็วที่เทสต์ผ่านสาย LAN ต่ำกว่าแพ็กเกจที่จ่ายไปอย่างเห็นได้ชัด ก็ถึงเวลาโทรหาผู้ให้บริการพร้อมข้อมูลในมือได้เลย แต่ถ้าปัญหาเกิดจากสัญญาณ Wi-Fi ที่ช้า อาจเป็นเพราะ Router ของคุณเก่าเกินไป โดยทั่วไปแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 5 ปี เพื่อให้รองรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Wi-Fi 6E หรือ Wi-Fi 7 ที่ให้ความเร็วสูงกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลจาก Ookla เผยว่า Router ที่ใช้มาตรฐาน Wi-Fi 7 ให้ความเร็ว Download เฉลี่ยสูงถึง 764Mbps เทียบกับ Wi-Fi 5 ที่ทำได้เพียง 227Mbps เท่านั้น การลงทุนซื้อ Router เอง แม้จะดูแพงในตอนแรก (เริ่มต้นราวๆ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,238 บาท) แต่มักจะคุ้มกว่าการเช่าจากผู้ให้บริการที่คิดค่าบริการราวเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐ (≈ 324 บาท) ในระยะยาว แถมยังได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าด้วย
สุดท้ายนี้ การรู้ค่าสปีดเน็ตของตัวเองก็เหมือนมีข้อมูลอยู่ในมือ ทำให้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนและควรจะแก้ยังไง ไม่ว่าจะเป็นการโทรไปคุยกับผู้ให้บริการ หรือแค่เดินไปซื้อ Router ตัวใหม่... งานนี้จะได้เลิกหัวร้อนกับเน็ตอืดๆ สักที
*หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 29 ต.ค. 2025 คือ US$1 = 32.38 บาท
ความเห็น (0)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความเห็น
เข้าสู่ระบบยังไม่มีความเห็น
เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นในบทความนี้